นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่อง ขุนทึง (ขุนเทือง)
View: 5435

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่อง ขุนทึง (ขุนเทือง) อักษรธรรม ๔ ผูก วัดอาภาราม อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี นครแห่งหนึ่งชื่อ เชียงเงื้อม หรือเชียงใหญ่ มีกษัตริย์ นามว่าขุนเทืองและนางบุสดี ปกครองบ้านเมือง ครั้งหนึ่ง ขุนเทืองต้องการจะออกเดินเที่ยวป่า จึงออกเดินทางจากเมืองไปในป่าประมาณ ๒ เดือน จึงไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง เป็นสวนของพญานาค แล้วพระองค์ได้พบลูกสาวพญานาค ชื่อว่า นางแอกใค้ เกิดรักใคร่กัน ขุนเทืองจึงตามนางไปยังบาดาลและอยู่ที่นั่นถึง ๒ ปีกว่า ในขณะที่ขุนเทืองไม่อยู่นี้ นางบุสดีได้เอาหมอมอ (โหร) มาทายดูว่าขุนเทืองอยู่ที่ใด ได้รู้ว่าขุนเทืองอยู่ที่เมืองพญานาคกับลูกสาวพญานาค นางบุสดีจึงบนบานให้พวกผีต่างๆ เช่น ผีน้ำ ผีเสื้อ ผีตายาย (บรรพบุรุษ) ผีเมือง เป็นต้น ตามไปบอกท้าวขุนเทืองกลับมาเมือง ขุนเทืองจึงได้ลานางแอกใค้และพญานาคเพื่อจะกลับ นางแอกใค้ได้มาส่งขุนเทืองถึงท่าน้ำ ก่อนจะจากกันนางได้ล้วงเอาลูกในท้องแล้วเอาใบตองทึงห่อให้ขุนเทืองตอนกลับเมืองเพื่อเอาไปเลี้ยง เมื่อมาถึงเมืองแล้วนางบุสดีไม่พอใจพยายามหาเรื่องเพื่อทำอันตรายต่างๆ นานา ขุนเทืองเห็นท่าไม่ดี จึงให้เสนาอำมาตย์เอาลูกชายชื่อขุนทึงไปปล่อยไว้ในป่า ขุนทึงอยู่ในป่าอย่างสุขสบาย เพราะมีเทวดาและสัตว์ต่างๆ มาดูแลรักษาเลี้ยงดู ต่อมาประมาณ ๑ ปี ขุนเทืองคิดถึงขุนทึงลูกชาย จึงให้พวกอำมาตย์ออกไปสืบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เมื่อทราบว่ายังมีชีวิตอยู่จึงไปเชิญเข้ามาอยู่ในเมือง ขุนทึงเมื่อโตเป็นหนุ่มขึ้นต้องการอยากจะพบแม่ที่แท้จริง จึงไปถามพ่อถึงที่อยู่ของแม่ พอทราบว่าแม่นั้นเป็นนาคอยู่ที่เมืองบาดาลจึงอำลาพ่อเพื่อที่จะไปเยี่ยมเยียนถามข่าวคราวแม่ แล้วออกเดินทางไปตามที่พ่อบอกจนถึงท่าน้ำแล้วเอาไม้ตีน้ำเรียกพวกนาคให้มาหา พวกนาคถามดูรู้ว่าเป็นลูกของนางแอกใค้ จึงพาขุนทึงไปเมืองบาดาล ขุนทึงได้พบแม่ ตา และยายแล้วอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานพอสมควร จึงได้ลาแม่เพื่อกลับเมืองเชียงเงื้อมของพ่อ นางแอกใค้แนะนำให้ลาตาแล้วขอของวิเศษเพื่อเป็นเครื่องติดตัวในการเดินทาง เมื่อขุนทึงไปลาตา ได้ให้ของที่วิเศษ ๓ อย่าง มี หม้อทองแดง ดาบ และของ้าว และมาถามวิธีใช้กับแม่ นางแอกใค้บอกวิธีใช้ว่า หม้อนั้นมีของทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใน ถ้าต้องการอะไรให้ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วเคาะเบาๆ ของที่ต้องการนั้นจะออกมา ดาบนั้นใช้ในการต่อสู้กับข้าศึกศัตรู ส่วนของ้าวนั้นให้ลากไปอย่าแบกหรือถือไป ขณะที่ลากนั้นถ้าไม่เกี่ยวอะไรก็ให้เดินทางไปเรื่อยๆ ห้ามนอน แม้จะกี่วันก็ตาม แต่ถ้าง้าวไปเกี่ยวกับอะไรแล้วจึงหยุดนอน ขุนทึงเมื่อแม่มาส่งถึงท่าน้ำแล้วก็เดินทางต่อไปโดยปฏิบัติตามคำของแม่ ใช้เวลาเดินอยู่หลายวันจึงถึงแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่งของ้าวได้เกี่ยวหยุดอยู่ จะดึงอย่างไรก็ไม่ไปจึงหยุดนอน ณ ที่นั้น พอเมื่อตื่นขึ้นที่นั้นกลายเป็นเมืองใหญ่ ชื่อว่า ศรีสัตนาคนหุต ดังนั้นขุนทึงจึงเคาะหม้อทองแดงแล้วมีหญิงสาวออกมา ๒ คน ชื่อ ทึง และทอง จึงอภิเษกเป็นมเหสีทั้งสองคน แล้วขุนทึงก็ครองศรีสัตนาคนหุตต่อมาอย่างมีความสุข ต่อมาครั้งหนึ่งขุนทึงออกไปเที่ยวป่าคนเดียวเดินทางไปประมาณ ๑๕ วัน ถึงป่าหิมพานต์ ได้พบนางชะนีที่อยู่ใกล้กับอาศรมพระฤาษี นางชะนีได้แปลงกายเป็นคนแล้วใส่ยาเสน่ห์เพื่อให้ขุนทึงรัก ขุนทึงได้หลงเสน่ห์ของนางชะนีแล้วได้อยู่กับนางชะนีที่ถ้ำในป่าหิมพานต์นั้น ประมาณ ๓ ปี ได้ลูกชายคนหนึ่งชื่อ อำคา หรือ อู่แก้ว ต่อมาขุนทึงได้ลานางชะนีกลับมาเมืองศรีสัตตนาคนหุต พร้อมกับท้าวอำคา ลูกชายและสัญญากับนางชะนีว่าจะมารับไปอยู่ในเมือง นางทึงและนางทองต่างก็ดีใจ และรักท้าวอำคาเหมือนลูกตนเอง ต่อมาขุนทึงได้ไปรับนางชะนีตามสัญญา และสั่งชาวเมืองทุกคนให้ผูกสุนัขไว้ให้ดี อย่าให้เพ่นพ่าน แต่พอนางชะนีมาถึง นางทึง นางทองกลับปล่อยสุนัขให้ไล่กัดนางชะนีหนีกลับไปอยู่ถ้ำดังเดิม เมื่อขุนทึงชราภาพจึงอภิเษกท้าวอำคาเป็นกษัตริย์สืบต่อมา