|
สังคมศาสตร์ |
ศาสนา |
3052
อายตนะ ๖
อายตนะ ๖ แปลว่า ที่ต่อ หรือดินแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่ายๆว่าทางรับรู้มี ๖ อย่าง ดังที่เรียกในภาษาไทยว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อายตนะภายนอก ๖ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องกาย และสิ่งที่ใจนึก โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า “อารมณ์” แปลว่า สิ่งอันเป็นที่สำหรับจิตมาหน่วงอยู่ หรือ สิ่งสำหรับยึดหน่วงของจิต แปลง่ายๆ ว่าสิ่งที่ถูกรับรู้ หรือ สิ่งที่ถูกรู้นั่นเอง
เมื่ออายตนะ (ภายใน) ซึ่งเป็นแดนรับรู้กระทบกับอารมณ์(อายตนะภายนอก) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้านของอายตนะแต่ละอย่างๆขึ้น เช่น ตากระทบรูปเกิดความรู้เรียกว่า “เห็น”
สรุปได้ว่า อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖ มีชื่อในภาษาธรรม และมีความสัมพันธ์กันดังนี้
๑.จักขุตา - ตา | เป็นแดนรับรู้ | รูป – รูป | เกิดความรู้คือ | จักขุวิญญาณ - เห็น |
๒.โสตะ – หู | เป็นแดนรับรู้ | สัททะ – เสียง | เกิดความรู้คือ | โสตวิญญาณ – ได้ยิน |
๓.ฆานะ – จมูก | เป็นแดนรับรู้ | คันธะ – กลิ่น | เกิดความรู้คือ | ฆานวิญญาณ – ได้กลิ่น |
๔.ชิวหา – ลิ้น | เป็นแดนรับรู้ | รส – รส | เกิดความรู้คือ | ชิวหาวิญญาณ – รู้รส |
๕.กาย – กาย | เป็นแดนรับรู้ | โผฏฐพพะ – สิ่งต้องกาย | เกิดความรู้คือ | กายวิญญาณ – รู้สิ่งต้องกาย |
๖.มโน – ใจ | เป็นแดนรับรู้ | ธรรม – เรื่องในใจ | เกิดความรู้คือ | มโนวิญญาณ – รู้เรื่องในใจ |
การรับรู้ จะเกิดขึ้น ต่อเมื่อมีองค์ประกอบเกิดขึ้นครบทั้ง ๓ อย่างคือ อายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ
ในกระบวนธรรมนี้ สิ่งที่ควรสนใจเป็นพิเศษในการศึกษาขั้นนี้ ก็คือ ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามา ซึ่งเกิดขึ้นในลำดับถัดจากผัสสะนั้นเอง ความรู้สึกนี้ในภาษาธรรม เรียกว่า “เวทนา” แปลว่า การเสวยอารมณ์ หรือการเสพอารมณ์ คือความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้น โดยเป็น สุขสบาย ไม่สบาย หรือ เฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง
เวทนานี้ ถ้าแบ่งตามทางรับรู้ ก็มี ๖ เท่าจำนวนอายตนะ คือเวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหู เป็นต้น
แต่ถ้าแบ่งตามคุณภาพ จะมีจำนวน ๓ คือ
๑. สุข ได้แก่ สบาย ชื่นใจ ถูกใจ
๒. ทุกข์ ได้แก่ ไม่สบาย เจ็บปวด
๓. อทุกขมสุข ได้แก่ ไม่ทุกข์ ไม่สุข คือเรื่อยๆเฉยๆซึ่งเรียกอีกอย่างว่าอุเบกขา
อีกอย่างหนึ่ง แบ่งละเอียดลงไปอีกเป็น เวทนา ๕ อย่างคือ
๑. สุข ได้แก่ สบายกาย
๒. ทุกข์ ได้แก่ ไม่สบายกาย เจ็บปวด
๓. โสมนัส ได้แก่ ไม่สบายใจ ชื่นใจ
๔. โทมนัส ได้แก่ ไม่สบายใจ เสียใจ
๕. อุเบกขา ได้แก่ เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์
กระบวนการรับรู้เท่าที่กล่าวมานี้ เขียนให้เห็นง่ายๆได้ดังนี้
อายตนะ + อารมณ์ + วิญญาณ = ผัสสะ > เวทนา
ความถูกต้องและผิดพลาดของความรู้
เมื่อพูดถึง อายตนะ ซึ่งเป็นแดนรับรู้ ก็ควรทราบเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้ด้วย แต่เรื่องที่ควรทราบเกี่ยวกับความรู้ มีมากมาย หลายอย่างไม่อาจแสดงไว้ในที่นี้ทั้งหมด จึงกล่าวไว้เพียงเรื่องเดียว คือความถูกต้องและผิดพลาดของความรู้และแม้ในหัวข้อนี้ก็จะกล่าวถึงหลักที่ควรทราบเพียง ๒ อย่างเท่านั้น
ก.สัจจะ ๒ ระดับ
ผู้สดับคำสอนในพระพุทธศาสนาบางคน เกิดความสับสน เมื่อได้อ่านได้ฟังข้อความบางอย่าง เช่น
บางแห่งว่า ไม่ควรคบคนพาล ควรคบบัณฑิต แต่บางแห่งว่า พึงพิจารณาเห็นตามเห็นตามความเป็นจริงว่า กายก็แค่กายไม่ใช่สัตว์ บุคคลหรือตัวตน เราเขา พึงรู้เท่าทันตามเป็นจริงว่า ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งทั้งหลายเป็นอนันตา ดังนี้เป็นต้น
คัมภีร์ฝ่ายอภิธรรม หวังจะช่วยป้องกันความสับสนผิดพลาดเช่นนี้จึงสอนให้รู้จักแยกสัจจะ หรือความเป็นจริงเป็น ๒ ระดับ กล่าวคือ
๑. สมมติสัจจะ ความจริงโดยสมมติ คือ จริงตามมติร่วมกัน ตามที่ได้ตกลงกันไว้หรือยอมรับร่วมกัน เป็นเครื่องมือสื่อสาร พอให้สำเร็จประโยนช์ในชีวิตประจำวัน (conventional truth)
๒. ปรมัตถสัจจะ ความจริงโดยปรมัตถ์ คือ จริงตามความหมายสูงสุด ตามความหมายแท้ อย่างยิ่ง หรือ ตามความหมายขั้นสุดท้ายที่ตรงตามสภาวะและเท่าที่พอจะกล่าวถึงได้
ข.วิปลาส หรือ วิปัลลาส ๓
วิปลาส คือ ความรู้คลาดเคลื่อน ความรู้ที่แปรผิดพลาดจากความเป็นจริง หมายถึง ความรู้คลาดเคลื่อนขั้นพื้นฐาน ที่นำไปสู่ความเข้าใจผิด หลงผิด และเป็นเครื่องกีดกั้นขัดขวางบังตา ไม่ให้มองเห็นสัจภาวะ วิปลาส มี ๓ อย่าง คือ
๑. สัญญาวิปลาส สัญญาคลาดเคลื่อน หมายรู้ผิดพลาดจากความเป็นจริง
๒. จิตวิปลาส จิตคลาดเคลื่อน ความคิดผิดพลาดจากความเป็นจริง
๓. ทิฏฐิวิปาลาส ทิฏฐิคลาดเคลื่อน ความเห็นผิดพลาดจากความเป็นจริง