กลุ่มชาติพันธุ์ไทย้อ/ญ้อ

| การดำเนินชีวิต | เรื่องทั่วไปในชีวิต | 18077

กลุ่มชาติพันธุ์ไทย้อ / ญ้อ (Tai yo)
ตระกูลภาษาไท-กะได Tai-Kadai Language Family

ย้อ ไทย้อ ญ้อ เป็นประชากรกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในจังหวัดสกลนคร และนครพนม มีภาษาพูดเหมือนภาษาไทยลาวต่างสำเนียงเล็กน้อย คือ น้ำเสียงสูงอ่อน หวาน ไม่ห้วนสั้นเหมือนไทยลาว ผิวขาว บ้านเรือนสะอาดตาเช่นเดียวกับชาวผู้ไทย ชาวย้อ ถือว่ากลุ่มตนเป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมแข็งกว่าไทยลาว


ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ ย้อ ไทย้อ ญ้อ

ประวัติความเป็นมา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงไทย้อไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดีตอนหนึ่งว่า “ พวกย้อท่าอุเทนพูดภาษาไทยแต่มีสำเนียง แปร่งไปอีกอย่างถาม ถึงถิ่นเดิมบอกว่า เดิมอยู่ที่เมืองไชยบุรีใกล้กับเมืองท่าอุเทนนั่นเองหนีกองทัพฯ ข้ามไปอยู่ที่เมืองหลวงโปงเลงท่าฝั่งซ้ายใกล้กับแดนญวน เสียคราวหนึ่งแล้วจึงพากันมาอยู่ที่เมือง ท่าอุเทนในรัชกาลที่ 3 ”

ถิ่นฐานเดิม ถิ่นฐานเดิม ของชาวย้ออยู่ที่เมืองหงสา ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาวในปัจจุบันมีพรมแดนติดต่อกับจีน ครั้นถึง พ.ศ. 2351 ในสมัยรัชกาลที่ 1 ชาวย้อส่วนหนึ่งได้อพยพลงมาตามลำน้ำโขง เห็นว่าทำเลตรงปากน้ำริมน้ำโขง มีภูมิลำเนาที่เหมาะสม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารและมีปลาชุกชุม จึงตั้งเป็นเมืองขึ้นชื่อเมืองไชยบุรี ขึ้นต่อกรุงเทพมหานครจนถึง รัชกาลที่ 3 ชาวย้อ เมืองไชยบุรี ถูกกองทัพเจ้าอนุวงศ์กวาดต้อนให้ไปตั้งอยู่ ณ เมืองหลวงปุงเลง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ต่อมาพ.ศ. 2375 เจ้าพระยาบดินทรเดชา แม่ทัพไทยได้อพยพชาวย้อ จากเมืองหลวง ปุงเลง เมืองคำเกิด เมืองคำม่วน ให้มาตั้งอยู่ดินแดนภาคอีสาน

ภาษา ภาษาชาวย้อจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาไท-กระได ชาวย้อมีภาษาพูดโดยพื้นฐานเสียงแตกต่างไปจากภาษาไทยลาว (ภาษาไทยอีสาน) ตรงที่ฐานเสียงอักษรสูง และเสียงจัตวา จะเน้นหนักในลำคอ น้ำเสียงสูง อ่อนหวาน ฐานเสียงสระ เอือ ใอ ในภาษาไทยลาวจะตรงกับฐานเสียงสระ เอีย และ เออ ตามลำดับ เช่น เฮือ เป็น เฮีย ให้ เป็น เห้อ ประโยคว่า อยู่ทาง ได เป็น อยู่ทางเลอ เจ้าสิไปไส เป็น เจ้านะไปกะเลอ เป็นต้น ตัวอย่างภาษาพูดของชาวย้อ หัวเจอ-หัวใจ, หมากเผ็ด- พริก, กินเข้างาย-กินข้าวเช้า,yหัวสิเคอ-ตะไค้, ไปกะเลอ, ไปเตอ-ไปไหน ชาวไทย้อไม่มีภาษาเขียนไม่มีตัวอักษรของตนเอง ในอดีตเคยใช้อักษรธรรมหรืออักษรไทยน้อย เช่นเดียวกับชาวอีสาน ปัจจุบันใช้อักษรไทยทั้งสิ้น

การแต่งกาย เอเจียน แอมอนิเย นักสำรวจชาวฝรั่งเศส ได้บันทึกเกี่ยวกับการแต่งกายของชาวย้อไว้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2425 ว่า “หญิงสาวจะมีผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง คงจะเป็น คนลาวที่สวยที่สุด พวกเขาใส่กำไลเงินและนุ่งซิ่นลาย ชอบผ้าสไบสีแดงมากกว่าสีเหลือง ผู้ชายจะตัดผมสั้นแบบสยาม ไว้เคราสั้น และสวมใส่เสื้อแบบคน ลาวอื่นๆนุ่งผ้าม่วงใน ท้องถิ่น ทำจากไหมหรือฝ้าย”


ระบบเศรษฐกิจ ชาวไทย้อมีอาชีพด้านเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะการปลูกพืชเศรษฐกิจซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ข้าว กล้วย อ้อย สับปะรด ยาสูบ และพืชผักตามฤดูกาล รองลงมาได้แก่ อาชีพเลี้ยงสัตว์ และจับสัตว์น้ำในลำน้ำ เนื่องจากว่ามีการตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แม่น้ำ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำสงครามและแม่น้ำชี

โครงสร้างทางสังคม ลักษณะครอบครัวของชาวไทย้อส่วนใหญ่เป็นลักษณะครอบครัวเดี่ยว ลักษณะเครือญาติไทย้อมีลักษณะเด่นตรงที่ว่าพวกเขาแม้จะแยกครอบครัวไปแล้ว แต่ก็ยัง ไปมาหาสู่กันเสมอ ยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเต็มความสามารถ ยามเทศกาลงานบุญต่างๆ ก็จะเดินทางไปช่วยเหลือกัน ชาวไทย้อเชื่อกันว่าผู้จะทำหน้าที่ี่แทนพ่อ ได้เป็นอย่างดี คือ ลูกชาย เพราะผู้ชายนั้นบึกบึนทรหดอดทน สามารถทำงานในอาชีพเกษตรกรได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นการสืบสายตระกูลและการรับ มรดก ส่วนใหญ่จะตก อยู่กับผู้ชาย ภาระหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวนั้น หน้าที่ในการหาเงินทองมาจับจ่ายใช้สอยภายในครอบครัว การคุ้มครองดูแลต่างๆ เป็นหน้าที่ของพ่อบ้าน แม่บ้านจะ ดูแลลูกๆ ภาระหน้าที่ภายในบ้าน

ที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ประชากร ชาวไทย้ออาศัยอยู่กระจายทั่วไปในแถบภาคอีสาน เฉพาะพื้นที่ที่มีชาวไทย้ออาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ได้แก่ อำเภอท่าอุเทน อำเภอนาหว้า อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอบ้านแพง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร อำเภอเมือง สว่างแดนดิน อำเภอพังโคน อำเภอกุดบาก กิ่งอำเภอโคกศรีสุพรรณ และกิ่งอำเภอเต่างอย จังหวัด สกลนคร อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย บ้านแซงบาดาล อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ บ้านท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม นอกจากนี้ยังมีอยู่ที่ภาคตะวันออก คือที่ อำเภออรัญประเทศ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดปราจีนบุรี

ลักษณะภูมิประเทศและที่อยู่อาศัย ลักษณะภูมิประเทศและที่อยู่อาศัย ชาวไทย้อชอบตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้แม่น้ำซึ่งชื่อเมือง ชาวไทย้อมักมีคำว่า “ท่า” ขึ้นก่อน เช่น เมืองท่าขอนยาง เมืองท่าอุเทน ลักษณะบ้านเรือนของชาว ไทย้อ คล้ายกับบ้านเรือนของชาวไทยลาวทั่วไป คือตัวเรือนเป็นเรือนใต้ถุนสูง มีชายคาที่เรียกว่า เซีย มีชานติดกับครัว มีเล้าข้าวอยู่ทาง ด้านหลังบ้าน ถ้าเป็นบ้านของชาวไร่ชาวนา ทั่วไปก็จะมุงด้วยหญ้าแฝก ฝาผนังเป็นฟาก สับสานลานสอง บ้านที่มีฐานะดีก็จะ มุง ด้วยกระเบื้องเกร็ด หรือสังกะสี และ เปลี่ยนฝาผนังเป็นไม้กระดานซึ่งมีให้เห็นในปัจจุบัน ชาวย้อ นิยมสร้างบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่มสังคมย่อยในวงศ์ญาติพี่น้องของตน และเมื่อมี จำนวนมากขึ้น ก็กลาย เป็นหมู่บ้านหรือที่เรียกว่า “คุ้ม” และมีวัดประจำคุ้มของพวกตน


ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ สำหรับประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อของชาวไทย้อนั้น ชาวไทย้อที่บ้านท่าขอนยาง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีประเพณีเลี้ยงผีปู่ตา โดยชาวบ้านจะสร้างตูบปู่ตา หรือ โฮงผีปู่ตา โดยชาวย้อถือว่าผีปู่ตาคือ ผีบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วแต่ยังมีความห่วงใยในความเป็นอยู่ของลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ สำหรับที่ตั้งของผีปู่ตาจะอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สำหรับ ผีบรรพบุรุษของชาวย้อที่ถือว่าเป็นผีปู่ตา มีดังนี้ คือ ผีเจ้าพ่อขุนสำราญ ญาพ่อผีลือสองนางพี่น้องเป็นผีผู้หญิงที่ชอบความสวยงาม ชาวย้อจะให้ความสำคัญกับผีสอง นางพี่น้อง ในด้านการป้องกันให้ความช่วยเหลือแก่เด็กๆ ของชาวย้อ โดยทั่วๆ ไปชาวย้อชอบตั้งถิ่นฐานที่อยู่ใกล้แม่น้ำ เพื่อสะดวกในการอุปโภค บริโภค ซึ่งด้วยสาเหตุที่มี เด็กๆ เสียชีวิต ในการอาบน้ำบ่อยๆทำให้ชาวย้อลดจำนวนลงเรื่อยๆ เหตุนี้ชาวย้อจึงมีโฮงผีปู่ตาสองนางพี่น้องไว้ที่ท่าน้ำ เพื่อรักษาเด็กในขณะลงอาบน้ำ เช่นเดียวกับชาวย้อ ที่ท่าอุเทนมีความเชื่อ ว่าผีมเหสักข์ และผีบรรพบุรุษ คอยปกป้องคุ้มครองให้พวกตนอยู่เย็นเป็นสุข มีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ เพื่อตอบแทนคุณผีดังกล่าว ชาวไทย้อที่ท่าอุเทน จึงมีประเพณีเลี้ยงผีโดยจัด พิธีกรรมที่เรียกว่า “ลงนางเทียม” ณ หอผีบ้าน เป็นประจำทุกปี ปีละ 3 ครั้ง สำหรับประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของชาวย้อนั้น ประเพณีการแต่งงานเมื่อหนุ่มสาวคู่ใดที่รักใคร่ชอบ พอถึง ขั้นตกลงปลงใจที่จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว ฝ่ายชายก็จะให้บิดามารดาของตนดำเนินการให้ได้แต่งงานกับหญิงคนรัก ดังนี้ “ไปเจาะ”คือการส่งผู้ใหญ่ไปทาบทาม “โอมสาว” คือการ ทำพิธีสู่ขอ “แฮกเสื่อแฮกหมอน” คือการเตรียมการ ได้แก่ การจัดเตรียมเครื่องนอน ประกอบด้วยฟูก หมอน ผ้าห่ม เสื่อ และมุ้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง ในการนี้ต้องเชิญผู้เฒ่า ผู้แก่ที่ชาวบ้านยอมรับว่าเป็น ผัวค้ำเมียคูณ มาทำพิธีตัดเย็บให้ชาวย้อเรียกว่า แฮกเสื่อแฮกหมอน “เล่าดอง”คือบอกเล่าวันแต่งงาน “มื้อกินดอง” คือพิธีวันแต่งงาน เมื่อได้ฤกษ์ยาม ดี แล้ว ก็จะเป็นการแห่จ้าวบ่าวพร้อมขันสินสอดของหมั้น พานบายศรี และสำรับที่เรียกว่า “ขำเพีย"ประกอบด้วยไข่ไก่ต้ม 2 ฟอง งา พริกแห้ง และเกลือป่น อย่างละ 1 ถ้วย ไปยังบ้าน เจ้าสาว พิธีสำคัญได้แก่ การวางสินสอดทองหมั้นต่อหน้าเจ้าโคตรลุงตาของเจ้าสาวพิธีบายศรีสู่ขวัญ พิธีป้อนไข่หน่วย พิธีขอพรจากเจ้าโคตรลุงตาทั้งสองฝ่าย ถ้าหากให้เขยไปสู่ก็ ทำพิธีจูงบ่าวสาวเข้าหอแล้วเลี้ยงอาหารแก่แขกผู้มาร่วมงานเป็นอันเสร็จ พิธีแต่งงานสำหรับงานบุญของชาวไทย้อส่วนมากก็เหมือนกับ ชาวอีสานทั่วที่นับถือ พระพุทธศาสนาและ ปฏิบัติตนตาม “ ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ ”

การบริโภคและระบบสาธารณสุข การบริโภคและระบบสาธารณสุข ชาวย้อรับประทานข้าวเหนียวเป็นหลัก และรับประทานข้าวเจ้าในบางโอกาส ไม่นิยมรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เหมือนชาวไทยลาว อาหารพื้น เมืองที่มีรับประทานเฉพาะในหมู่ไทย้อ ทำจากปลากราย เรียกว่า “หมกเจาะ” ส่วนอาหารประเภทอื่นก็เหมือนกับชาวไทยลาวทั่วไป

ศิลปะการแสดง ศิลปะการแสดง ฟ้อนไทย้อ โดยจะพบในช่วงเทศกาลสงกรานต์เดือนเมษายน และเทศกาลที่สำคัญ ๆ เท่านั้น ในช่วงสงกรานต์นั้นชาวไทย้อจะมีการสงน้ำพระ ในตอนกลางวันโดย มีการตั้งขบวนแห่จากคุ้มเหนือไปยังคุ้มใต้ตามลำดับ ตั้งแต่ขึ้นหนึ่งค่ำเป็นไป จนถึงวันเพ็ญสิบห้าค่ำ เดือนห้า ส่วนในตอนกลางคืนหนุ่มสาวจะ จัดขบวนแห่นำต้นดอกจำปา (ลั่นทม) ไปบูชาวัดที่ผ่านไปเริ่มจากวัดใต้สุดขึ้นไปตามลำดับถึงวัดเหนือสุดซึ่งเป็นคืนสุดท้าย เสร็จพิธีแห่ดอกไม้บูชาองค์พระธาตุท่าอุเทน จะเป็นช่วงแห่งการเกี้ยวพาราสี การหยอกล้อกัน อย่างสนุกสนานของบรรดาหนุ่มสาวชาวไทย้อ นอกจากนี้ก็เป็นการแสดงและเครื่องดนตรีเหมือนกับชาวไทอีสานทั่วไป

comments




เว็บเพื่อนบ้าน
DoesystemDevcodeMathMySelfHowToClicksBlogJavaExample